ก่อนจะพูดถึง 𝐏𝐫𝐨𝐏𝐀𝐑 ขอพูดถึง GOPPAR กันก่อน เพราะ GOP หรือ Gross Operating Profit มาก่อน Profit นั่นเอง แทนที่เราจะมองกันแค่รายได้ต่อห้องพัก เราก็มองลึกไปกว่านั้นจนถึง กำไรต่อห้องพักเลย โดยการนำ ทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพัก (variable cost) และค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกิดขึ้น (ทั้ง variable cost และ fixed cost) มาพิจารณาด้วยเพื่อที่จะได้ทราบว่า โรงแรมมีความสามารถในการทำกำไรต่อห้องเป็นเท่าไหร่
𝐆𝐎𝐏𝐏𝐀𝐑 = 𝐆𝐎𝐏/ 𝐓𝐨𝐭𝐚𝐥 𝐀𝐯𝐚𝐢𝐥𝐚𝐛𝐥𝐞 𝐑𝐨𝐨𝐦 𝐍𝐢𝐠𝐡𝐭𝐬
ยกตัวอย่างเช่น ในเดือน กพ 2024 ที่ผ่านมา โรงแรม A ซึ่งมีห้องพักทั้งหมด 100 ห้อง มี GOP 1.5 ล้านบาทถ้วน GOPPAR = 1,500,000 / (100 ห้อง x 29 วัน) = 1,500,000 / 2,900 = 5,172 บาท
อะไรบ้างอยู่ระหว่าง GOP กับ Profit
Net Income (Profit/Loss) = Operating Profit - Interest, Taxes, and Other Deductions
หลังจากนำ GOP ไปบวกลบดอกเบี้ย หักภาษี และค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้ว ก็จะได้ Net Income ไม่ว่าจะเป็น Profit หรือ Loss
𝐏𝐫𝐨𝐏𝐀𝐑 หรือ Net RevPAR โดยปกติแล้วเราสามารถใช้ตัวเลขจาก P&L บรรทัดสุดท้าย มาหารด้วยจำนวนห้อง (ใช้ total inventory หรือ total available room nights) ในช่วงเวลานั้นๆได้เลย
ยกตัวอย่างเช่น ในเดือน กพ 2024 ที่ผ่านมา โรงแรม A ซึ่งมีห้องพักทั้งหมด 100 ห้อง มีกำไรสุทธิ 1 ล้านบาทถ้วน ProPAR = 1,000,000 / (100 ห้อง x 29 วัน) = 1,000,000 / 2,900 = 3,448 บาท
เราจะดู GOPPAR กับ ProPAR ไปทำไมกัน คำตอบคือ เพราะการดู RevPAR อย่างเดียวมันไม่พอ ในช่วง high season ที่เราสามารถทำราคาได้สูงกว่าตลาด เมื่อเปรียบเทียบ RevPAR Index แต่เราก็อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในส่วน Operating เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กำลูกค้าที่จ่ายมาในราคาสูง เราจึงต้องดูตัวเลข GOPPAR กับ ProPAR เปรียบเทียบไปด้วย
ส่วนในช่วง Low Season เราอาจจะขายราคาตามราคาตลาดทำให้เราสามารถยืน occupancy ของโรงแรมไว้ได้ เราอาจจะทำกิจกรรมการตลาดมากมายที่ทำให้โรงแรมยังสามารถขายได้ และเหล่านั้นคือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เราจึงต้องพิจารณา GOPPAR กับ ProPAR ด้วยนั่นเอง
Revenue Manager ใช้ GOPPAR กับ ProPAR เพื่อวิเคราะห์เพื่อหาทางทำกำไรให้กับโรงแรมมากขึ้น General Manager จะมอง Index สองตัวนี้เปรียบเทียบกับตลาดว่าโรงแรมตัวเองทำได้ดีหรือยังเมื่อเทียบกับคนอื่น ในขณะที่ Finance Director ก็จะเข้าใจทั้งโครงสร้างรายได้และค่าใช้จ่าย และจะนำตัวเลขไป deep dive เพิ่มเติมว่าจะบริหารจัดการ expenses ยังไงให้ได้กำไรมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ Revenue Management จึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ในการใช้พื้นฐานความรู้ทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์ การตลาด การเงินการบัญชี จิตวิทยา และการจัดการเชิงกลยุทธ์ และห่างไกลจากการนั่งเปลี่ยนเรต manage OTAs ยิ่งนัก